Sponsored Ads

เงิน 4 ด้าน เป็นแนวคิดวิธีหาเงิน 4 รูปแบบ ของหนังสือสอนรวยเล่มหนึ่ง ชื่อ พ่อรวยสอนลูก ซึ่งเราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับ ชีวิตของเราได้ โดยจะแนะนำช่องทางการหาเงินซึ่งมีสี่ด้านหรือสี่ทางเลือกด้วยกัน แต่สำหรับหลายคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะชอแนะนำโดยยก ตัวอย่างให้เห็นภาพกันแบบชัดๆ เข้าใจง่ายๆ

 

หลักการหา เงิน 4 ด้าน หรือ 4 รูปแบบ แต่ละแบบ ก็มีข้อดีข้อเสีย และโอกาสสร้างความร่ำรวยที่ต่างกันไป แต่ทั้งนี้ก็ต้องประยุกต์ทั้ง 4 ด้านเข้าด้วยกัน ตัวอย่างการหาเงินหรือรายได้การเงินทั้ง 4 ด้าน
1. การหาเงินกับการการเป็นมนุษย์เงินเดือน พนักงานหรือลูกจ้าง เช่น เป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้าง
2. การหาเงินจากการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง เช่น เปิดร้านขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด
3. การเป็นเจ้าของกิจการ เช่น ขายสาขาเปิดร้านขายเสื้อผ้าตามตลาดนัดหลายแห่ง มีหลายสาขา
4. การเป็นนักลงทุน เช่น นำเงินเก็บ เงินออม ที่ได้จากการขายเสื้อผ้าไปลงทุนกับตลาดหุ้น

 

1. การหาเงินกับการการเป็นมนุษย์เงินเดือน พนักงานหรือลูกจ้าง

มนุษย์เงินเดือน พนักงาน หรือลูกจ้าง เป็นวิธีหาเงินที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติกัน เรียนจบก็ทำงาน หรือไม่มีความรู้ ก็ใช้แรง รับจ้าง ตาม แต่ความถนัดของตนเอง ตัวอย่างเช่น การเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าในห้าง มีเงินเดือน โอที โบนัสหรือสวัสดิการต่างๆ ตามที่บริษัทนั้นๆ กำหนด

 

การเป็นพนักงานหรือมนุษย์เงินเดิอน จะมีรายได้ที่สม่ำเสมอและมั่นคงตามสาขาอาชีพ ความรู้ของแต่ละคน ขอเพียงไม่ทำผิด กฏของบริษัท งานไม่บกพร่อง ก็ยากจะถูกให้ออก

 

2. การหาเงินจากการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง

การเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง ทำอาชีพของตัวเอง เป็นนายตัวเอง เพื่อให้มองเห็นภาพที่ชัดเจนจะขอยกตัวการเปิดร้านขายเสื้อผ้า หลังจากได้ทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้า ตามห้าง จนมีความรู้ มีประสบการณ์ในการขาย รู้แหล่งซื้อซื้อเสื้อผ้า ก็ออกมาทำร้านของตัว เอง นี่ก็คือตัวอย่าง การเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง เช่น เปิดร้านขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด หรือการเปิดร้านขายเสื้อผ้า โดยอาจจะเช่า ห้อง เช่าร้าน หรือเปิดเว็บไซต์ขายเสื้อผ้าผ่านเน็น ฯลฯ ตามแต่เงินทุนของแต่ละคน

 

การเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเอง อาจจะมีรายได้ที่ไม่สม่ำเสมอ และไม่มั่นคง ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ สภาพแวดล้อม ความนิยม สินค้า สุขภาพของเจ้าของธุรกิจ หากทำงานไม่ได้ ก็ไม่มีรายได้ บางคนทำร้านอาหาร ช่วงปิดเทอม นักศึกษาหยุดยาว ก็ขาดรายได้ เป็น ต้น การเป็นเจ้ของธุรกิจส่วนตัว จึงไม่ง่ายอย่างที่คิด

 

3. หาเงินจากการเป็นเจ้าของกิจการ

ลักษณะของเจ้าของกิจการ จะมีการต่อยอดจากการเป็นเจ้าของธุรกิจของตัวเอง ให้ใหญ่ขึ้น ตัวอย่างเช่น นางสาว แดงต้อย เริ่มทำ งานด้วยการเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าตามห้าง จากนั้นก็เป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองด้วยการเปิดร้านเองขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด และต่อยอด เป็นเจ้าของกิจการด้วยการขยายสาขาเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลายสาขา มีพนังงาน มีลูกจ้าง บางคนออกรถหลายคันเพื่อให้พนักงานเดิน สายขายสินค้าตามตลาดนัดทุกที่

 

การขยายกิจการเป็นเจ้าของกิจการ ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น มีโอกาสสร้างรายรับมากขึ้น มีหลายสาขา ความเสี่ยงก็ลดลง อย่างการ ขายเสื้อผ้าตามตลาดนัด บางแห่งอาจจะขายดีมาก บางแห่งขายไม่ค่อยดี กระจายความเสี่ยงกันไป ธุรกิจประเภทนี้จะมีขนาดใหญ่หรือ เล็กต่างกันไป อย่าง 7-11 ของซีพี ก็ถือว่าเป็นเจ้าของกิจการ บางคนมีร้านกาแฟหลายสาขา ก็ถือว่าเป็นเจ้าของกิจการ เป็นต้น

 

4. หาเงินจากการเป็นนักลงทุน

รูปแบบการหาเงินด้วยวิธีนี้จะเป็นการนำเงินไปลงทุน ในรูปแบบต่างๆ เช่น ฝากธนาคาร ซื้อสลากออมสิน เล่นหุ้น ซื้อบ้านให้เช่า ฯลฯ เพื่อให้เห็นภาพ และเข้าใจมากยิ่งขึ้น ผู้เขียนขอยกตัวอย่างตามนี้ เช่น 1. การเป็นพนักงาน ต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเก็บเงินก้อนได้ เช่น นางสาว แดงต้อยทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้าอยู่นานถึง 20 ปี สามารถเก็บเงินได้ 1,000,000 บาท 2. การเป็นเจ้าของกิจการ มีโอกาสหาเงินได้เร็วกว่าและมากกว่าการเป็นพนักงาน เช่น นางสาว แดงด้อย ออกมาเปิดท้ายขายเสื้อผ้า ตามตลาดนัด ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็เก็บเงินได้มากถึง 1,000,000 บาท 3. การเป็นเจ้าของกิจการ มีโอกาสหาเงินได้เร็วกว่าและมากกว่าการเป็นพนักงานและเจ้าของกิจการ เช่น นางสาว แดงด้อย ได้ขยาย สาขาเปิดร้านขายเสื้อผ้ามากถึง 10 ร้าน ซึ่งใช้เวลาเพียงปีเดียวก็เก็บเงินได้มากถึง 1,000,000 บาท

 

การหาเงินแบบที่ 4 หาเงินจากการเป็นนักลงทุน ก็จะเป็นการนำเงินที่หาได้ นำเงินไปลงทุน เช่น เงิน 1,000,000 บาท ที่ได้จาก การทำงานเป็นพนักงานขายเสื้อผ้า การเปิดร้านขายเสื้อผ้าของตัวเอง หรือการขยายกิจการมีร้านเสื้อผ้าหลายสาขา เป็นต้น

 

การนำเงินไปลงทุนมีหลายแบบ แต่ละแบบก็สร้างผลตอบแทนต่างกันไป

1. การนำเงินไปฝากธนาคาร ฝากแบบออมทรัพย์หรือประจำ เงิน 1,000,000 บาท จะได้ดอกเบี้ยประมาณ 6,000 กว่าบาทขึ้นไป ต่อปี ผลตอบแทนถือว่าได้น้อยมาก

2. การนำเงินไปซื้อสลากออมสินของธนาคาร ออมสิน เงิน 1,000,000 บาท มีโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้นเพราะมีโอกาสถูกรางวัล ผลตอบแทนต่อปีจึงเกิน 10,000 บาท ขึ้นไป ผลตอบแทนถือว่าได้น้อยมากเช่นกัน

3. การนำเงินไปเล่นหุ้น เน้นเงินปันผล ซึ่งมีผลตอบแทนประมาณ 3-5% เงิน 1,000,000 บาท มีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 30,000 - 50,000 บาทต่อปี หากนางสาวแดงต้อยมีเงินเก็บมากๆ เช่น สัก 10,000,000 ก็จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนหลักแสน บาทต่อปี เป็นรายได้ที่ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก ไม่ต้องมีพนักงาน ไม่มีภาระรายจ่ายสารพัด เหมือนการเปิดร้านขายเสื้อผ้า

4. การนำเงินไปซื้อที่ดิน ไว้ขายเก็งกำไร กรณ๊นี้ อาจจะไม่มีรายได้เข้ามาในแต่ละเดือน เช่น นำเงินไปซื้อที่นา 10 ไร่ 1,000,000 บาท ในอีก 10 ปีข้างหน้าขายไป 5,000,000 บาท ในระยะเวลา 10 ปี ทำกำไรได้ 4,000,000 บาท เป็นต้น

5. การนำเงินไปซื้อคอนโด หรือทำรีสอร์ท ทำบ้านเช่า เช่น นำเงิน 1,000,000 บาทไปทำห้องเช่ารายวัน มี 10 ห้อง สมมุติว่า แต่ละ ห้องหลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว มีรายได้วันละ 200 บาท รวมรายได้ต่อวันทั้ง 10 ห้องอยู่ที่ 2,000 บาท หรือเดือนละ 60,000 บาท หรือปีละ 720,000 บาท จะเห็นว่า การนำเงินไปลงทุนมีหลายแบบ และมีโอกาสร้างรายได้มากน้อยต่างกันไป

 

ความแตกต่างของการ หาเงิน 4 ด้าน

เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว วิธีการหาเงิน 4 ด้านหรือ 4 รูปแบบนั้น ก็มีความแตกต่างกัน โดยอยู่ที่จุดมุ่งหมายปลายทางว่าต้อง การหาเงินเพื่อจะเอาไปทำอะไร อย่าง นางสาวแดงต้อย มีจุดมุ่งหมายเพื่อความสบาย ใช้เงินช่วยทำงาน โดยต้องการหาเงินเก็บให้ได้สัก 1,000,000 บาท เพื่อนำไปทำบ้านพักรายวัน กรณีนี้ก็จะเห็นว่า การเป็นพนักงานนั้นต้องใช้เวลานานมากถึง 20 ปี (ตัวอย่างสมมุติ) แต่การเป็นเจ้าของกิจการใช้เวลาปีเดียว (เปิดร้านขายเสื้อผ้ามีหลายสาขา) เร็วกว่า ถึงจุดหมายของตัวเองเร็วกว่า

 

ดังนั้นไม่ว่าจะหาเงินด้วยวิธีใด ก็ตาม ให้ตั้งเป้าหมายว่าจะหาเงินเพื่ออะไร จะใช้เงินเพื่อทำอะไร ซึ่งหลักการของ เงิน 4 ด้าน ในพ่อ รวยสอนลูก จะเน้นการหาเงินให้ได้มากๆ แล้วใช้เงินนั้นช่วยเราทำงาน แทนเรา

อย่างการนำไปเล่นหุ้น เงิน 1,000,000 บาท สมมุติว่า ได้เงินปันผลเดือนละ 30,000 - 50,000 บาท หรือเดือนละ 2,500 - 4167 บาท หากชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณไม่มีภาระอะไร ก็ อาจจะพอเลี้ยงชีพอยู่ได้ แต่ต้องไม่มีภาระผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เลี้ยงดูลูกหลาน ก็อยู่ได้ นี่คือตัวอย่างการวางแผนให้มีเงินใช้ในบั้นปลาย ของชีวิต

แต่หากมีจุดมุ่งหมายที่ต่างออกไป ต้องการนำเงินไปลงทุนด้านอื่นเช่น ทำบ้านพักรายวัน ซึ่งอาจจะมีโอกาสสร้างรายรับที่สูงกว่า เสี่ยงน้อยกว่าการเปิดร้านขายเสื้อผ้าหลายสาขา ต้องรับผิดชอบชีวิตพนักงานหลายคน แต่การทำบ้านพัก มีพนักงานทำความสะอาดไม่ กี่คนก็พอแล้ว หรืออาจจะไม่ต้องจ้าง หากมีคนเข้าพักก็จ้างไปรายครั้งรายวัน หรืออาจทำเอง หากยังมีเรี่ยวแรง

 

สรุปเกี่ยวกับ เงิน 4 ด้าน

การดำรงชีพของคนเราจะต้องเกี่ยวข้องกับเงิน ใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งของเครื่องใช้ ปัจจัย 4 การหาเงิน 4 ด้าน หรือ 4 รูปแบบ เป็น ตัวอย่างวิธีหาเงินที่มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันไป แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เราต้องตั้งจุดมุ่งหมายของตัวเองในเรื่องการเงินเสียก่อน จะหาเงินไป เพื่ออะไร

 

บางคนเลือกที่จะเป็นพนักงานทำงานจนเกษียณ ก็มีเงินเก็บไว้ใช้ในบั้นปลาย แต่ต้องใช้เวลาหลายสิบปี แต่บางคนนำเงินไปเล่นหุ้น มี เงินก้อนเร็วขึ้น ลาออกจากงานตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 40 เกษียณเร็วมาก แถมมีเงินปันผลใช้ทุกปี

 

เมื่อเข้าใจเงิน 4 ด้านแล้ว ก็ต้องมาทำความเข้าใจกับจุดมุ่งหมายของตัวเอง ในเรื่อง การหาเงิน จึงจะสามารถนำความรู้เรื่องนี้ไปประยุกต์ใช้ ในชีวิตจริงได้ เพราะเรื่องเงิน เรื่องรายได้ เป็นความทุกข์ใจมากที่สุดของคนเรา แต่หากพบแนวทางแก้ปัญหา หรือก้าวข้ามไปได้ ก็จะมี ชีวิตที่สุขสงบมากขึ้น อยากทำอะไรก็ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ และทำอย่างมีความสุข นั่งๆ นอนๆ ก็มีเงินใช้ไม่เดือดร้อน อาจจะไม่ใช่เงิน จำนวนมากนัก แต่ก็เพียงพอต่อการใช้จ่ายในแต่ละเดือน ไปตลอดชีวิต