ล้อรถยนต์แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็สามารถดูแลลมยางด้วยตัวเองได้ไม่ยาก โดยใช้ที่สูบลมยางจักรยาน ทั้งยังสามารถพกติดรถได้ การใช้งานก็ไม่เหนื่อยอย่างที่คิด แต่ต้องเลือกที่สูบลมยางที่มีแรงดันลมสูง และต้องรู้เทคนิคการสูบลมยาง ไม่เช่นนั้นก็เหงื่อท่วมได้เหมือนกัน ข้อดีของที่สูบลมธรรมดาแบบนี้ก็คือ ใช้งานได้ทุกที่ ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ใช้งานสะดวก ไม่ต้องการการดูแลอะไรมากนัก เพราะไม่มีระบบอะไรซับซ้อน

การใช้รถยนต์ในชีวิตประจำวัน ลมยางรถยนต์อาจลดลงไม่มากนัก เราจึงสามารถดูแลลมยางรถยนต์ของเราให้ความดันคงที่ได้ไม่ยาก ด้วยอุปกรณ์แค่สองชิ้นเท่านั้น ก็คือที่วัดแรงดันลมและที่สูบลมยางจักรยานเท่านั้นเอง

 

ที่วัดลมยาง

จากตัวอย่างจะมีปุ่มตั้งค่าให้อยู่ที่ 0 แบบนี้ใช้งานง่าย เวลาวัดแนบให้สนิท กดทีเดียวให้เสียงดัง ซุ๊บ จะได้ค่าที่ตรงมากกว่า แต่ถ้าดัง ซี๊ดดดดด ยาวๆ ซึ่งเป็นเสียงลมออก เข็มชี้แสดงปริมาณแรงดันลมจะไม่ตรง

 

ปัจจุบันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมราคาแพงจัง เมื่อก่อนไม่ถึง 100 บาท เวลาขับรถผ่านร้านอะไหล่ลองแวะสอบถาม น่าจะได้ราคาถูกกว่าซื้อผ่านเน็ต

 

ที่สูบลมจักรยาน

ที่เติมลมยางจักรยานจากในรูปซื้อมา 145.- เท่านั้นเอง ลองหาตามร้านของขาย 20 บาทดูก่อน แต่ต้องซื้อสายสำหรับเติมลมไว้สำรอง เพราะเสียบ่อย ต้องซื้อสำรองเก็บไว้ ตามร้าน 20 บาท มีขาย ที่สูบลมยางจักรยานแบบมีที่พักลมจะเติมลมยางได้เร็วกว่าที่คิดมาก นอกเสียจากยางแบน อาจจะเหนื่อยพอสมควร แต่จะเหนื่อยมากหากสูบลมยางไม่เป็น บางยี่ห้อจะมีที่วัดลมยางติดมาด้วย สะดวกในการใช้งานมากขึ้น

 

แนะนำให้ลงทุนซื้อที่สูบลมยางจักรยานที่ให้แรงดันลมยางสูง เวลาใช้งานจะไม่เหนื่อยมากนัก อย่างแบบแรก 145.- แรงดันลมยางยังไม่มากพอ เหมาะสำหรับใช้กับรถจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์มากกว่า การใช้กับรถยนต์ต้องสูบลมอยู่นานกว่าจะเติมลมยางได้พอดีตามมาตรฐาน

 

ท่ายืนในการเติมลม สำคัญมาก ยืนผิดท่า เหงื่อท่วมได้เหมือนกัน แต่ลมเข้าน้อยมาก เริ่มจากท่ายืน ห้ามยืนขาชิดกัน ต้องยืนท่าถอนสายบัว ซึ่งเป็นวิธีการทำความเคารพของผู้หญิง วางเท้าที่ถนัดไว้ข้างหน้าเหยียบที่เหยียบตัวเติมลมไว้ ไม่ให้ขยับ เท้าอีกข้างเหยียดไปด้านหลัง เวลาสูบลม ให้ใช้น้ำหนักตัวกดลงไป หากใช้ท่านี้จะไม่เหนื่อยมากนัก เพราะไม่ได้ออกแรง แค่ใช้น้ำหนักตัวกดลงไป แต่หากยืนเท้าชิดกัน แล้วใช้แรงมือกดอย่างเดียว เหนื่อยลิ้นห้อยแน่นอนแต่ระวังน้ำมันที่ตัวลูกสูบเปื้องกางเกง หรือหนีบ ไ...

 

หากแรงดันลมลดลงไม่มากนัก ออกแรงสูบลมไม่กี่ครั้ง เหงื่อยังไม่ทันออก ก็ได้แรงดันลมพอดีกับลมยาง การสุบลมยางให้นับจำนวนครั้ง เช่น 10 ครั้ง แล้วจึงวัดแรงดันลม กรณีแรงดันลมเกินจากตัวเลขที่ระบุไว้ การปล่อยลมยาง ให้ปล่อยทีละนิดแล้ววัดแรงดันลมอีกครั้ง

 

ส่วนที่สูบลมยางแบบใช้เท้าเหยียบแบบนี้ อย่าไปซื้อมาใช้เด็ดขาด เพราะประสิทธิภาพต่ำ อัดลมได้น้อยกว่าแบบมีที่พักลม และเหนื่อยมาก ห้ามซื้ออย่างเด็ดขาด เสียเงินเปล่า

 

ปริมาณแรงดันลมของรถยนต์แต่ละคัน

ในรถยนต์แต่ละคันส่วนใหญ่จะติดสติ๊กเกอร์ระบุความดันลมของยางหน้าและหลัง อยู่ใต้เสากลางรถ ใกล้เบาะคนขับ การตรวจสอบปริมาณลมยางก็ใช้ค่าตามนี้ ยกเว้นการเดินทางไกลต้องเติมลมให้มากกว่าปกติ จาก 27 อาจเพิ่มเป็น 32 เพื่อป้องกันยางระเบิดเพราะความร้อนในลมยางขยายตัว

 

ลมยางอ่อนจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง

ด้วยอุปกรณ์ง่ายๆ ในงบประมาณ 300 บาท ก็จะได้เครื่องมือดูแลรถยนต์ของเรา เพราะแรงดันลมยางรถนั้น ลดลงได้ตลอดเวลา การมีตัววัดลมยาง จะได้สำรวจตรวจตรายางรถยนต์ไปในตัว หากลมยางอ่อนหรือหมดเร็วกว่าปกติ จะทำให้ยางสึกไม่เท่ากัน เพราะความสูงความเอียงของรถก็ไม่เท่ากัน

 

ลมยางอ่อนมีโอกาสทำให้ยางระเบิดสำหรับการขับรถทางไกล เพราะเมื่อลมในยางน้อย ขณะขับรถทางไกล ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในยางจะเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีพื้นที่ว่างมาก ความร้อนจะขยายตัวมาก ทำให้มีโอกาสสูงมากที่ยางจะระเบิดขณะขับรถ จึงต้องหมั่นสังเกตุลมยางบ่อยๆ

 

หากลมยางอ่อน ต้องรีบสำรวจว่า ยางโดนตะปูหรือลวดปักคาอยู่หรือไม่ เพราะลมยางจะไม่ออกทีเดียวหมดเลย จะค่อยๆ ซึมออกมา แต่ระหว่างนั้น เมื่อมีการขับรถบ่อยๆ จะส่งผลให้ล้อที่ยางอ่อน ยางจะสึกไม่เท่ากัน มีโอกาสเสียเงินหลักพันตามมา เมื่อปะยางแล้ว ความสูงของยางไม่เท่ากัน ยางรถยนต์เวลาเปลี่ยน อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนเป็นคู่ถ้าสึกมาก ผู้เขียนเคยเจอกับตัวเอง ใช้รถอยู่หลายเดือน มีลวดปักอยู่ ลมค่อยๆ ซึมออกมา ก็เอาแต่เติมลมยางบ่อยๆ กว่าจะรู้ว่ามีลวดปักคาอยู่ ก็หลายเดือน ทำให้ยางสึกไม่เท่ากัน