สำหรับมือใหม่ หากมีงบไม่มาก ประมาณ 6000-7000 บาท อยากจะถ่ายทำวิดีโอ ถ่าย ตัดต่อวิดีโอ เพื่อทำช่องยูทูป หรือ ใช้ งานต่างๆ ตัวเลือกระหว่าง iPhone กับแอนดรอยด์จะมีข้อมูลที่สำคัญที่ควรรู้ เพื่อจะได้เลือกใช้ให้คุ้มค่ากับเงินที่จ่าย

 

สำหรับใครที่มีงบไม่มาก และกำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือก iPhone หรือมือถือแอนดรอยด์ มาถ่ายทำ ตัดต่อวิดีโอ ซึ่งก็จะมี เรื่องที่ควรรู้ดังนี้

 

งบประมาณ 6-7 พันจะได้มือถือรุ่นไหนบ้าง

iPhone ในงบประมาณ 6000-7000 บาท หากเป็น iPhone ก็จะได้ประมาณ iPhone 7 หรือ 7 Plus หรือ iPhone 8 ซึ่งตั้งแต่ iPhone 7 ขึ้นไป จะมีกันสั่น ซึ่งมีความสำคัญ เวลาถ่ายวิดีโอ กรณีต้องเดินถ่าย ขับรถ ต้องเคลื่อนมือถือในลักษณะต่างๆ ระบบกันสั่นจะช่วย ป้องกันไม่ให้ภาพสั่นไหว ดูแล้วปวดหัว หากเลือก iPhone 7 Plus หรือ 8 ก็อาจจะเกินงบ น่าจะจบที่ 8000 เพราะยังมีอุปกรณ์ เสริมที่จะต้องซื้ออีกหลายรายการ

 

แอนดรอยด์ สำหรับฝั่งของมือถือแอนดรอยด์ผู้เขียนจะขอแนะนำ Samsung ซึ่งมีหลายรุ่นที่คุ้มมาก เช่น A50, A50s, A51 ราคาประมาณ 6000 บาท ขึ้นไป มีทั้งระบบกันสั่น กล้องหลายตัว มีคุณสมบัติในการถ่ายภาพที่หลากหลายกว่า iPhone

 

อุปกรณ์เสริมที่จะต้องมี

อุปกรณ์เสริมสำหรับ iPhone
การใช้ iPhone เพื่อถ่ายทำวิดีโอจะต้องซื้ออุปกรณ์เสริมที่จำเป็นก็คือ อุปกรณ์สำรองข้อมูล และไมค์ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 500 บาทขึ้นไป ตัวอย่าง
1. OTG แบบ Lightning ราคาประมาณ 100 บาท ขึ้นไป รวมค่าจัดส่ง เอาไว้ต่อแฟลชไดรฟ์เพื่อสำรองข้อมูล ภาพถ่าย วิดีโอใน iPhone เก็บไว้ เมื่อทำวิดีโอเสร็จแล้ว ก็สำรองลงแฟลชไดรฟ์ ก่อนจะลบต้นฉบับทิ้งไป ไม่ให้เปลืองพื้นที่เก็บข้อมูล
2. แฟลชไดรฟ์ราคาประมาณ 100 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับความจุ
3. ขาตั้งกล้องราคาประมาณ 150 บาท ขึ้นไป
4. รีโมทชัตเตอร์บลูทูธ เอาไว้ควบคุมการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ราคาประมาณ 60 บาท
5. ไมค์ประมาณ 300 บาทขึ้นไป สำหรับไมค์แบบ Lightning
6. อุปกรณ์เสริมสำหรับไมค์ที่ใช้แจ็ค 3.5 อย่าง Lightning to 3.5 mm เป็นตัวแปลงเพื่อให้สามารถใช้ไมค์ที่เป็นแจ็ค 3.5 ได้ ราคา ประมาณ 300 บาท ขึ้นไป

 

อุปกรณ์เสริมสำหรับแอนดรอยด์
สำหรับมือถือแอนดรอยด์จะมีอุปกรณ์เสริมน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น
1. ขาตั้งกล้องราคาประมาณ 150 บาท ขึ้นไป
2. รีโมทชัตเตอร์บลูทูธ เอาไว้ควบคุมการถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ราคาประมาณ 60 บาท
3. ไมค์ประมาณ 300 บาทขึ้นไป สำหรับไมค์หนีบ BOYA BY M1
4. เมมโมรี Micro SD Card เอาไว้สำรองข้อมูล หากพื้นที่เต็ม ราคาประมาณ 150 บาท ขึ้นไป

 

ความง่ายในการทำวิดีโอ

การตัดต่อวิดีโอในมือถือจะมีเรื่องที่จะต้องจัดการหลายอย่าง เช่น
1. การจัดการกับไฟล์เสียง ไฟล์เพลงประกอบวิดีโอ มือถือแอนดรอยด์จะทำได้ง่ายกว่า มีแอปตัดต่อเสียงให้ใช้งานอย่างหลากหลาย ตัดต่อเสียงทำได้ง่ายกว่า แต่ต้องเลือกมือถือที่มีระบบเสียงที่ดี อย่าง Samsung นั้นถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว ส่วน iPhone การตัดต่อ เสียง การหาเสียงเพลงประกอบมาใช้งานจะมีความยุ่งยากกว่า ยกเว้นแต่จะซื้ออย่างเดียว ก็จะหาได้ง่าย
2. การจัดการกับวิดีโอ ในแอนดรอยด์จะทำได้ง่ายกว่า มีแอปจัดการวิดีโอหลายแบบให้เลือกใช้งาน เป็นแอปฟรีที่ไม่บังคับให้ต้องซื้อ ในภายหลัง ขนาดของไฟล์วิดีโอ สามารถปรับลดได้อย่างอิสระ และง่ายกว่า อย่างไฟล์ที่ใหญ่มากเกินไป การบีบอัด ตัด แบ่ง ทำได้ ง่ายกว่า ไฟล์วิดีโอนั้นมีขนาดใหญ่ การใช้ iPhone ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลน้อย เมื่อตัดต่อวิดีโอแต่ละเรื่องเสร็จแล้ว จำเป็นจะต้องย้าย ข้อมูลออกจากเครื่อง เพื่อให้มีพื้นที่ว่างรอทำงานอื่นต่อไป แต่แอนดรอยด์สามารถใส่ SD Card เพื่อใช้เก็บข้อมูลได้ วิดีโอมีมากแค่ ไหน ก็ไม่มีวันเต็ม

 

ระบบกันสั่นการถ่ายวิดีโอ

ระบบกันสั่นใน iPhone
การถ่ายวิดีโอที่ต้องมีการเคลื่อนไหว หรือขยับมือถือ ระบบกันสั่นของ iPhone ทำงานได้ดี ภาพที่ได้มีความนิ่ง ไม่จำเป็นจะต้องใช้ไม้ กันสั่น ก็ได้วิดีโอที่พร้อมนำไปใช้งานได้

 

ระบบกันสั่นใน มือถือแอนดรอยด์
สำหรับมือถือแอนดรอยด์บางรุ่นอย่าง Samsung A50/A50s/A51 ซึ่งราคาอยู่ในงบประมาณ 6-7 พันบาท ก็จะมีกันสั่นที่ใช้ได้ เลยทีเดียว และยังมีแอปช่วยปรับลดความสั่นในวิดีโอได้อีกอย่าง Google Photo จึงทำให้ได้วิดีโอที่นิ่ง แต่จะเสียเวลาทำงาน เพราะ จะต้องนำวิดีโอไปแก้ไขก่อนทุกครั้ง

 

ความเสถียรของระบบ

ความเสถียรของระบบไม่ต่างกัน หากเน้นใช้มือถือเพื่อทำงานเท่านั้น ไม่มีการติดตั้งแอปไม่จำเป็นมากเกินไป เน้นเฉพาะแอปเอา ไว้ทำงาน โดยเฉพาะหากลงทุนซื้อแอปด้วยแล้ว ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องโฆษณากวนใจ ทำงานได้ไม่ต่างกันทั้ง 2 ระบบทั้ง iPhone และ แอนดรอยด์ สำหรับการใช้งานถ่ายทำ ตัดต่อวิดีโอ

 

แอปตัดต่อวิดีโอ

แอปสำหรับตัดต่อวิดีโอใน iPhone
แอปตัดต่อวิดีโอใน iPhone จะมีแอปฟรีมาให้อย่าง iMovie แต่ผู้เขียนมองว่า ยังมีจุดด้อย เช่น การพิมพ์ข้อความอธิบายบนวิดีโอ จะยังไม่ยืดหยุ่นมากพอ การนำเสียงเข้าไปใช้งาน ก็ยุ่งยากกว่า ขนาดวิดีโอที่ได้ ไม่มีตัวเลือกในการลดขนาดวิดีโอให้เล็กลง กรณี ต้องการนำไปใช้งานอื่นที่ไม่ใช่การอัปโหลดเข้าช่องยูทูป แอปตัดต่อวิดีโอที่ดี และไม่บังคับให้เสียเงินซื้อ อย่างแอป VLLO จะใช้งานได้ เหมือนกันทั้งใน iPhone และแอนดรอยด์

แอปถ่ายวิดีโอ พร้อมปรับแต่งเสียงเทพๆ อย่าง Dolby On, Bandlab ก็มีให้ใช้เหมือนกันทั้งใน iPhone และแอนดรอยด์

 

ตัวอย่างวิดีโอด้วยกล้องของ iPhone 7
บันทึกเสียง ปรับแต่งเสียง ร้องเล่นกีตาร์ด้วยแอป Dolby On
ใช้ตัวแปลง UGREEN Lightning to 3.5 mm. กับไมค์ BOYA BY A100
ตัดต่อวิดีโอและเสียงเข้าด้วยกันด้วยแอป iMovie


แอปสำหรับตัดต่อวิดีโอในแอนดรอยด์
แอปตัดต่อวิดีโอในมือถือแอนดรอยด์มีฟรีหลายตัวที่ไม่บังคับให้ซื้อ เช่น Youcut, VLLO โดยตัว VLLO จะใช้ได้ทั้งใน iPhone และแอ นดรอยด์ แต่จะมีราคาถูกกว่าใน iPhone นอกจากนี้ก็ยังมีแอปให้ใช้อีกหลายตัวที่มีความสามารถเฉพาะทางที่ช่วยให้การจัดการกับ วิดีโอทำได้ง่าย เช่น แยกเสียง ออกจากวิดีโอ ตัดวิดีโอ แต่การใช้งานฟรี ก็จะมีโฆษณาคั่น ยกเว้นแต่ขณะทำงาน จะไม่มีการต่อเน็ต ก็จะช่วยลดปัญหาการแสดงโฆษณาได้บ้าง

 

ความง่ายในการตัดต่อวิดีโอ

หลังจากได้ทดลองทำวิดีโอในอุปกรณ์ทั้งสองระบบ ทั้ง iPhone และมือถือแอนดรอยด์แล้ว การทำวิดีโอไม่ยากทั้งสองระบบ แต่ก็ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของวิดีโอ การทำวิดีโอด้วยมือถือ เหมาะสำหรับวิดีโอง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เช่น เรื่องเล่า ถ่าย Vlog ท่องเที่ยว การสาธิต กิจกรรมต่างๆ หากเป็นวิดีโอที่มีความซับซ้อน อย่างวิดีโอการสอน งานวิชาการ แนวนั้นจำเป็นจะต้องใช้คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยเหลือ จึงจะทำงานได้ง่าย และ สะดวกมากขึ้น

 

เลือกระบบใดระบบหนึ่ง อย่าผสมกัน

การเลือกระบบใดระบบหนึ่ง เช่น iPhone หรือ แอนดรอยด์ ก็ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะไฟล์วิดีโอมีขนาดใหญ่ การส่ง ข้อมูลเข้าออกจากระบบหนึ่งไปอีกระบบจะทำได้ไม่ง่ายนัก และทำให้เสียเวลาทำงาน ผู้เขียนมี 2 แบบ ปวดหัวมาก ถ่ายวิดีโอด้วย iPhone จะเอาไปตัดต่อในแอนดรอยด์ ก็ยุ่งยากในการรับส่งไฟล์ไปมา

กรณีใช้ iPhone อนาคต ก็มักจะมี iPad เพิ่มเข้ามา ถ่ายวิดีโอใช้ iPhone ตัดต่อวิดีโอใช้ iPad เป็นต้น ระบบเดียวกัน การรับส่ง ข้อมูลทำได้ง่ายกว่า และ iPad นั้นจะสามารถใช้ปากกาได้ จึงสามารถใช้ทำวิดีโอที่มีความซับซ้อนอย่างแนววิชาการได้

กรณีใช้แอนดรอยด์ ก็เช่นกัน อนาคตก็จำเป็นจะต้องมีแท็บเล็ต ซึ่งควรเลือกรุ่นที่สามารถใช้ปากกาได้เช่นกัน เพื่อจะได้ทำวิดีโอที่มี ความซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น

 

iPhone มีระบบที่อัปเดทได้นานกว่า

มือถือ iPhone จะมีการอัปเดทระบบที่ยาวนานกว่ามือถือแอนดรอยด์ แต่หากใช้งานแอปตัดต่อวิดีโอบางตัวเท่านั้น ก็ไม่มีปัญหา แต่อย่างใด เพราะตัวระบบที่อัปเดทนั้น ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการตัดต่อวิดีโอมากนัก มือถือแอนดรอยด์ที่ใช้รุ่น 9.- ขึ้นไป จะยังรอง รับแอปตัดต่อวิดีโอไปได้อีกนานหลายปี ถ้าเครื่องไม่พังเสียก่อน

 

แบตเตอรี่ขณะทำงาน

มือถือแอนดรอยด์จะมีแบตเตอรี่ความจุสูงกว่า จึงไม่เป็นปัญหาทั้งในเรื่องการถ่ายวิดีโอ และ ตัดต่อวิดีโอ สามารถทำได้โดย แบตเตอรี่ไม่หมดเสียก่อน แต่ iPhone อาจจะไม่รอด แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความยาวของวิดีโอ

 

การปรับแต่งเสียงในวิดีโอ

ไม่ว่าจะใช้ iPhone หรือมือถือแอนดรอยด์ เสียงในวิดีโอที่ได้ จำเป็นจะต้องนำไปปรับแต่งเสียงอีกที อย่างการใช้แอป Dolby On ก็จะได้เสียงที่ดีขึ้น คุณภาพเสียงไม่ต่างกัน

 

ตัวอย่าง อัดเสียง ถ่ายวิดีโอ Samsung J2 Prime ต้องนำเสียงไปปรับแต่ง จึงจะได้คุณภาพเสียงที่ดี

 

เปรียบเทียบคุณภาพเสียง dolby on

 

ตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในความเห็นของผู้เขียน

สำหรับการทำวิดีโอเพื่ออัปโหลดเข้าช่องยูทูป ซึ่งเป็นเจ้าของเดียวกันกับแอนดรอยด์ การใช้มือถือแอนดรอยด์จึงย่อมจะทำอะไร ได้ง่ายกว่า สะดวกกว่า การใช้ iPhone มือถือระบบนี้ตลอดทั้งการใช้แอปต่างๆ เพื่อช่วยเสริมการทำงานตัดต่อวิดีโอ มีความ ยืดหยุ่นมากกว่า อย่างการจัดการไฟล์เสียง ตัดเสียง นำเข้าเสียงเพลงประกอบ หาเพลงมาใช้ ทำได้ง่ายกว่า

 

ส่วนข้อด้อยของมือถือแอนดรอยด์ ก็คือ ระบบกันสั่น จำเป็นจะต้องศึกษาคุณสมบัตินี้ในมือถือที่ต้องการซื้อให้ดีเสียก่อน เพราะ จะทำให้เสียเวลาทำงาน ต้องทำวิดีโอไปลดอาการสั่นทุกครั้งก่อนจะนำไปใช้งาน แต่หากได้มือถือแอนดรอยด์ที่มีระบบกันสั่นที่ดี ก็ จะช่วยให้ทำงานได้สะดวก รวดเร็วมากขึ้น