การวางแผนการทำงานให้เป็นระบบจะช่วยลดเวลาในการทำงาน และได้ปริมาณงานที่มากกว่า บางคนดูผิวเผินเหมือนไม่ทำงานทำการอะไรเลย บางทีอาจจะขี้เกียจหรือเป็นจอมวางแผนจึงไม่ต้องทำงานทุกวันเหมือนคนอื่น บางคนทำงานไม่กี่เดือนในแต่ละปี ก็มีเงินพอใช้ไม่ต้องทำอะไร สำหรับการทำงานส่วนตัวแล้ว งานในลักษณะนี้สามารถทำได้ โดยเฉพาะในปัจจุบันมีงานแบบนี้รองรับมากพอสมควร

 

คนที่มีความฉลาดแต่ขี้เกียจมักจะคิดและทำอะไรไม่เหมือนคนอื่น บางคนจะเน้นทำงานอย่างจริงจังในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น แต่ต้องมีรายได้ครอบคลุมไปทั้งปีหรือสร้างราไยด้ไปอีกนานหลายปี จากการทุ่มเททำงานครั้งเดียว

 

ตัวอย่างงานในลักษณะนี้

ผู้เขียนจะขอยกกรณีศึกษาแบบต่างๆ เป็นตัวอย่างการทำงานจริงที่สามารถนำไปปฏิบัติได้

 

กรณีศึกษาที่ 1 การทำเว็บไซต์

การทำเว็บไซต์มีรายได้จากโฆษณาเป็นหลัก เป็นการคลิกโฆษณาในเว็บไซต์แล้วเจ้าของได้เงินจากโฆษณา การทำงานแบบคนขี้เกียจมีหลายแบบ เช่น
1. เขียนบทความไว้จำนวนมาก แล้วโพสต์ลงเว็บไซต์ตั้งเวลาให้แสดงบทความทุกวัน จากนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร เว็บไซต์ที่มีบทความไหม่ทุกวัน Google, Yahoo, Bing จะชอบ เว็บเล็กๆ ที่ผู้เขียนได้ลองทำ อย่าง rodusedcar.com เริ่มทำเว็บเมื่อ 27 พ.ย. 2560 มีรายได้ในระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ประมาณ 5000 กว่าบาท ด้วยจำนวนผู้เข้าเยี่ยมชมประมาณ 60,000 คน ปีหน้า 2562 จะหาทางต่อยอดความรู้ทีได้ลองทำ เช่น ทำเว็บให้มากกว่าเดิมสัก 10 เว็บ และสร้างฐานผู้เข้าชมให้มากกว่า 60,000 คน เพื่อให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

2. ทำเว็บไซต์อย่างเป็นระบบ สร้างรายได้จากการคลิกโฆษณาเช่นเดียวกัน เมื่อมีผู้เข้าชมมากพอสมควร มีรายได้ทุกเดือน ก็แบ่งรายได้ไปจ้างเยียนบทความ ตัวเองมีหน้าที่ตรวจสอบ หรือจ้างคนอื่นตรวจสอบอีกที เว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่ทำงานในลักษณะนี้ อย่าง thairath.co.th มีรายได้ต่อปี หลักล้านบาท

 

กรณีศึกษาที่ 2 ขายสินค้าผ่านเน็ต เฟสบุ๊ค

การขายสินค้าออนไลน์จะยากในครั้งแรกที่เริ่มศึกษา แต่เมื่อวางระบบดีแล้ว ทุกอย่างเข้าที่แล้ว เวลาทำงานจะลดน้อยลง เช่น
1. การวางแผนผลิตสินค้าของตัวเอง เมื่อสินค้าเป็นที่นิยม ติดตลาดแล้ว ก็จ้างพนักงานคอยรับออร์เดอร์ลูกค้า ส่งสินค้า จ้างผลิตสินค้า จ้างคนตรวจสอบการทำงาน ตัวเองมีเวลาพักผ่อน เด็กรุ่นใหม่หลายคนทำงานในลักษณะนี้

2. การขายสินค้าผ่านเฟสบุีค บางคนเลือกสินค้าตามสมัยนิยมมาขายผ่าเฟสบุ๊ค โดยตัวเองก็ไม่ได้มีสินค้าแต่อย่างใด แต่ได้ว่าจ้างคนรับหาข้อมูลสินค้าและจัดส่งสินค้าไว้แล้ว หน้าที่หลักๆ ก็คือการดูว่าสินค้าใดขายดี ก็จ้างคนหาสินค้านั้นๆ มาทำตลาด มาขายผ่านเว็บ หารูปมาลงประกาศขาย เมื่อลูกค้าสั่ง ก็จะส่งต่อให้คนอื่นจัดหาสินค้าและส่งให้ลูกค้าอีกที ระบบลงตัวแล้ว ก็จะไม่ต้องทำอะไรมาก

3. บางรายเน้นนำเข้าสินค้าจากจีน จำนวนมาก เพื่อนำมาขายส่ง อีกที ในแต่ละปี อาจจะขายได้ไม่มาก แต่ได้ปริมาณมาก ต่อครั้ง นำเข้าสินค้าจำนวนมาก แล้วนำมาปล่อยให้รายใหญ่ๆ รับไปขายต่ออีกที อาศัยความได้เปรียบ การรู้จักแหล่งหาซื้อสินค้าราคาถูก และสามารถด้านภาษา สามารถติดต่อกับชาวต่างชาติได้

 

กรณีศึกษาที่ 3 ผลิตสินค้าประเภททรัพย์สินทางปัญญา

สินค้าประเภทนี้ เช่น เพลง วิดีโอ หนังสือ บทความ แอป โปรแกรม สไลด์ สื่อต่างๆ บางคนเน้นเขียนเพลง โดยมีรายได้จากลิขสิทธิ์ บางคนทำเพลง ทำวิดีโอปล่อยให้ชม บน Youtube รับรายได้จากการคลิกโฆษณา การโชว์ตัว สินค้าเหล่านี้ผลิตครั้งเดียว แต่สร้างรายได้ต่อเนื่องเป็นปีๆ เลยทีเดียว

 

กรณีที่ 4 ผลิตสินค้าแล้วทำแฟรนไชส์

บางคนมีความรู้ และสามารถเปลี่ยนความรู้ให้เป็นสินค้าที่จับต้องได้ จากนั้นก็นำไปทำแฟรนไชส์ ซึ่งก็มีโอกาสสร้างรายได้มากขึ้น เพราะเมื่อมีผู้มาสมัครแฟรนไชส์ ก็เหมือนมีสาขาเพิ่มนั่นเอง การมีความรู้ในเรื่องใดๆ ก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ต้องรีบหาทางเปลี่ยนเป็นแฟรนไชส์ เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้

 

กรณีศึกษาที่ 5 ธุรกิจที่ให้บริการเฉพาะบางช่วงเท่านั้น

การทำธุรกิจบางประเภทอย่างรีสอร์ท การให้บริการที่พัก สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมบางแห่ง เปิดบริการเฉพาะฤดูท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ก็มีรายได้มากพอ หรือบางรายขายอาหารเฉพาะบางช่วงเวลาเท่านั้น แต่ก็สร้างรายรับมากกว่าคนเปิดร้านทั้งวัน เป็นต้น ทั้งหมดต้องวางแผน เพื่อลดการทำงาน

 

กรณีศึกษาที่ 6 วางแผนบริหารเงิน ให้เงินช่วยทำงาน

การวางแผนดังที่กล่าวมานั้นเป็นการวางแผนเรื่องการทำงาน และเมื่องานไปได้ดี ผลตอบแทนก็จะเป็นเงินนั่นเอง ดังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ก็ต้องวางแผนการจัดการกับการเงิน เพื่อให้มีเงินมากพอ สามารถเกษียณตัวเองได้ ไม่ต้องทำงานอีกต่อไป โดยจะต้องหาวิธีทำให้เงินที่เราหามาได้ ช่วยเราทำงาน ช่วยเราสร้างรายได้ เช่น มีเงินเดือนๆ ละ 20000 บาท หากออมไว้เดือนละ 10,000 นำไปฝากธนาคาร สมมุติว่า ปลายปีได้ดอกเบี้ยมาก้อนหนึ่ง นี่ก็เป็นตัวอย่างการนำเงินไปช่วยทำงาน ซึ่งมีหลายวิธี

 

บางคนนำไปผ่อนคอนโด บ้าน ตึกแถว แล้วปล่อยให้เช่า มีรายได้จากค่าเช่า หลังจากที่มีรายได้มากพอแล้ว ก็หยุดทำงาน นั่งรอเวลาสิ้นเดือนไปเก็บเงินอย่างเดียว รายได้จากค่าเช่า ก็เพียงพอต่อการใช้จ่ายในแต่ละเดือน การวางแผนทำงานในลักษณะนี้ อาจจะใช้เวลาหลายสิบปี แต่ก็คุ้ม เพราะหาไม่ทำอะไรเลย ในระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า อาจจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

 

การเอาแต่ทำงานอย่างเดียว คงไม่ดีแน่ หากไม่พยายามเดินทางลัด ลองสำรวจงานที่ตัวเองทำอยู่ทุกวัน มีทางลัดที่ช่วยลดการทำงานหรือไม่ ตั้งจุดหมายของต้วเอง ว่าต้องการอะไร แล้วก็รีบสร้างทางลัด บางคนทางลัดคือการมีเงิน ก็ตั้งหน้าตั้งตาบริหารเงินที่ได้ เน้นทำงานไปช่วยทำงาน แม้จะมีเงินเดือนใกล้เคียงกับคนวัยเดียวกัน เรียนรุ่นเดียวกัน แต่การที่เงินช่วยทำงาน ก็ทำให้มีรายได้มากกว่าคนอื่นในอนาคตข้างหน้า ซึ่งมักจะเห็นผลในอีก 10 ปีข้างหน้า แม้จะใช้เวลานาน แต่ก็คุ้มค่าการกับการคอยเสมอ

 

เหตุผลสำคัญที่ควรจะต้องวางแผนในตอนนี้

ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา และทำให้บางอาชีพต้องล้มหายตายจาก งานที่เราทำอยู่อาจจะได้รับผลกระทบก็ได้ เช่น การนำหุ่นยุนต์ไปใช้ในโรงงาน การนำ AI หรือระบบปัญญาประดิษไปใช้ในระบบธนาคาร ไม่ต้องใช้คนคิดคำนวณแล้ว พนักงานก็จะตกงาน ที่ยังอยู่รอดได้ ก็จะต้องมีความสามารถเหมือนคนขายประกัน ต้องมีความสามารถในการสร้างรายได้ให้ธนาคาร นอกเหนือจากการมีรายได้จากดอกเบี้ยที่ปล่อยกู้