การสอนลูกหลานให้ทำธุรกิจ ทำมาหากิน คิดเชิงธุรกิจ ก็จะทำให้เด็กรู้จักคิดคำนวณตัวเลข คำนวณต้นทุนในการทำธุรกิจ อย่างละเอียด รู้จักเอาตัวรอด แต่เรื่องแบบนี้ก็มีผลเสียเหมือนกัน เพราะแม้แต่กับคนรอบตัว คนในครอบครัว เด็กก็อาจจะเริ่ม คิดคำนวณต้นทุนบางอย่างเหมือนกับการทำธุรกิจเช่นเดียวกัน

เด็กบางคนในยุคนี้เริ่มทำมาหากินตั้งแต่เด็ก อีกทั้งพ่อแม่บางคนก็สอนลูกหลานให้รู้จักทำมาหากิน แต่เรื่องนี้ก็ต้องรู้ว่า ผล เสียที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เพราะพ่อแม่ก็อาจจะกลายเป็นลูกค้าที่ต้องคิดกำไร เหมือนกัน เล่นเอาพ่อแม่บางคนน้ำตาตกเลยที เดียว

 

ข้อดีของการสอนลูกหลานทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก

ทุกวันนี้เด็กๆ เริ่มทำงานหาเงินกันเร็วขึ้น เพราะมีช่องทางหาเงินที่เร็วและง่ายกว่าเดิม โดยเฉพาะการขายของผ่านเน็ต ขายของ ผ่านเฟสบุ๊ค การสอนลูกหลานให้ทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก ย่อมจะได้เปรียบ เพราะเรื่องการทำมาหากิน บางทีก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้น หลังเรียนจบ เริ่มก่อนก็ได้เปรียบ มีประสบการณ์มีความรู้ในการทำธุรกิจ สามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้เร็วขึ้น มีประสบการณ์ใน การเอาตัวรอด เพราะยุคนี้การทำธุรกิจ เปลี่ยนแปลงเร็ว อาชีพบางอย่างก็พร้อมจะล้มหายตายจาก ไม่มีอะไรมั่นคง ความ สามารถในการเอาตัวรอดจึงสำคัญที่สุด

 

บางคนอาจจะมองว่า หน้าที่ของเด็กคือการเรียน แต่การทำธุรกิจทุกวันนี้ งานบางอย่างเมื่ออยู่ตัวแล้ว ก็สามารถจ้างคนอื่น ให้แทนได้ ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด การสอนให้เริ่มทำธุรกิจ ก็จะเป็นการฝึกการคิดไปในตัวด้วยเช่นกัน ให้เด็กได้เรียนรู้ในเรื่อง อื่นนอกเหนือจากเรื่องการเรียน

 

ข้อเสียของการสอนลูกหลานทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก

การสอนในเชิงธุรกิจ จะต้องมีการคิดเรื่องต้นทุน ค่าใช้จ่าย กำไร ซึ่งจะต้องสอดแทรกคุณธรรมเข้าไปด้วย เพราะเด็กบางคน ก็จะนำเรื่องของการคิดเชิงธุรกิจมาใช้กับชีวิตประจำวันทุกอย่าง เช่น การคิดค่าจ้าง คิดค่าแรง ตัวเอง เมื่อมีคนขอให้ช่วยเหลือ อะไรก็ตาม ก็จะคิดเงิน ค่าคิดแรงตัวเอง แต่เวลาตัวเองต้องการอะไร กลับไม่พูดถึง ขอฟรี นี่คือตัวอย่างนิสัยเห็นแก่ตัวที่เกิดขึ้น ตามมาในเด็กบางคน เมื่อเริ่มคิดอะไรแบบธุรกิจมากเกินไป

 

แรกๆ ผู้เขียนก็รู้สึกชื่นชมที่เด็กรู้จักคิด กำไรต้นทุน ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำธุรกิจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็พบว่า สำหรับบาง คนนั้นคิดเงินไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าใครจะใช้ให้ทำอะไร ก็คิดเงินทุกอย่าง เป็นค่าแรงตนเอง ทุกเรื่องกลายเป็นเรื่องเงินๆ ทองๆ ไปหมดเลย กลายเป็นความเห็นแก่ตัว คนรอบตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง คนรัก การที่คนเหล่านั้นให้ความ ช่วยหลือตัวเองก็อาจจะคิดว่านั่นคือสิ่งของที่ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องลงทุน แต่หากตัวเองจะต้องให้ความช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ก็จะต้อง คิดเงินหรือต้องคิดค่าแรง แยกแยะไม่ออกว่าบุญคุณคืออะไร ธุรกิจคืออะไร แม้แต่กับคนใกล้ตัว ก็จะคิดเงิน คิดเชิงธุรกิจไปเสีย ทั้งหมด การต้องดูแลพ่อแม่ ก็จะคิดเงิน คิดค่าเแรง ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ทำ เด็กบางคนคิดแบบนี้จริงๆ

 

ดังนั้นการสอนบุตรหลานในเรื่องการทำธุรกิจ ก็ต้องสอดแทรกคุณธรรมเข้าไปด้วย อย่างคนในครอบครัว ที่เคยมีบุญคุณ การช่วยเหลืออะไรเล็กๆ น้อยๆ เป็นเรื่องทั่วไป ก็ต้องแยกแยะให้ออก ไม่ใช่จ้องแต่จะคิดเงิน คิดค่าแรงท่าเดียว คบใครแล้วได้ ประโยชน์หรือมีประโยชน์กับตัวเอง ก็จะคบหาสมาคมด้วย ใครไม่มีประโยชน์ ก็ไม่คบ แม้ว่าคนนั้นจะเคยมีบุญคุณกับตนก็ตาม

ตัวอย่างวิธีสอนการทำธุรกิจควบคู่คุณธรรม

การสอนเรื่องการทำมาหากินหรือการทำธุรกิจให้บุตรหลานก็ต้องสอนเรื่องการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และเรื่องการคิดกำไรต้นทุน การค้าขายหรือทำธุรกิจ เช่น
1. การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นเรื่องสำคัญ ที่คนเราต้องช่วยกัน โดยเฉพาะคนดี ที่เคยช่วยเหลือตนเอง คนดี ที่สามารถคบ หาสมาคมได้ คนดีเหล่านี้ จำเป็นจะต้องดูแลใส่ใจกัน เป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือกัน คนเราไม่อาจจะโตหรือทำอะไรคนเดียวได้ บางคนเมื่อยังเป็นเด็ก ก็มีคนช่วยเหลือ พี่ ป้า น้า อา ญาติ ให้ความช่วยเหลือ ทั้งความรู้ ทั้งการเงิน โดยไม่เคยคิดค่าแรง ค่าเสีย เวลาที่ตัวเอง อบรมสั่งสอน นี่คือบุญคุณที่ต้องตอบแทนและช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่เมื่อคนเหล่านั้นหวังพึ่งพาตนเองบ้าง บางคน ก็คิดค่าแรง คิดเงินค่าเสียเวลา คิดเป็นตัวเงิน นี่คือข้อเสียของการแยกแยะไม่ออก เอาธุรกิจมาปนกับชีวิตไปทั้งหมด สุดท้ายใน วันที่ตัวเองแย่ ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือ หรือคิดเงินกับตัวเองบ้างก็จะเกิดความโกรธแค้น เรื่องนี้ก็เป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เขียน เจอมากับตัวเอง
2. การทำธุรกิจ ก็ต้องรู้จักแยกแยะ อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยว เช่น ตัวเองอยากจะทำมาค้าขาย อาจจะมีญาติ หรือพี่น้องทำ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว ก็อาจจะจ้างผลิต หรือใช้บริการ จ้างผลิตสินค้า เป็นต้น กรณีอย่างนี้ก็คิดค่าใช้จ่ายกันไปตามปกติ เพราะเป็นการทำธุรกิจ แต่บางคนนั้น กลับมองว่า ตัวเองมีบุญคุณกับอีกฝ่าย

 

เรื่องแบบนี้บางคนอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก แต่จะไม่เล็กอย่างที่คิด เพราะปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ มักจะเกิดขึ้นในเวลาที่ ตัวเองย่ำแย่ บางคนเคยช่วยเหลือคนอื่น ญาติพี่น้อง แต่เวลาตัวเองลำบาก ต้องขอความช่วยเหลือญาติพี่น้องบ้าง กลับโดนคิด เงินทุกอย่าง ทุกเรื่อง

ส่วนคนที่คิดเชิงธุรกิจมากเกินไป ยามตัวเองย่ำแย่ ก็จะไม่มีใครเหลียวแล ให้ความช่วยเหลือ ก็เพราะพฤติกรรมเห็นแก่ตัวที่เกิด จากการคิดเชิงธุรกิจมากเกินไป ใครขอให้่ช่วยเหลืออะไรก็คิดเงินทุกเรื่อง ทำให้ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย

ในการทำธุรกิจนั้น การมีพันธมิตร มีคนที่พร้อมจะให้ความช่วยเหลือกัน เป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่พี่น้อง เพื่อนฝูง การ ให้ความช่วยเหลือกันแบบใด ก็ต้องรู้จักแยกแยะ ผู้เขียนฃ่วยเหลือคนอื่นไว้มาก จึงไม่ลำบากเวลาเดือดร้อน พร้อมจะมีคนให้ ความช่วยเหลือ ทั้งเรื่องงาน เรื่องทุน แต่ก็มีเพียงคนบางกลุ่มเท่านั้นที่พึ่งพาไม่ได้ เพราะจะทำอะไรก็จ้องจะคิดเงินไปเสียทุกเรื่อง ก็คือคนในครอบครัวตัวเอง ซึ่งถูกสอนเรื่องการคิดเชิงธุรกิจมากเกินไป จะขอความความเหลือก็ต้องเสียเงินหรือต้องเสียอะไร บางอย่าง