บทความแนะนำวิธีดูช่วงล่างรถยนต์มือสองก่อนตัดสินใจซื้อรถ เพื่อดูว่ามีชิ้นส่วนอะไรที่ต้องซ่อมต้องเปลี่ยนบ้าง ซึ่งมีหลายรายการ ถ้าต้องซ่อมทั้งหมด ก็หลักหมื่นบาทเลยทีเดียว เช่น ดูยาง ล้อ โช้ค ลูกยางต่างๆ ดูชิ้นส่วนใต้ท้องรถ ระดับของตัวรถสูงต่ำเท่ากันหรือไม่ เป็นต้น เพื่อตรวจสอบเบื้องต้น ก่อนจะลองขับจริง เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ฟังเสียงจากใต้ท้องรถ เสียงกุกๆ กักๆ เหมือนเหล็กกระทบกัน บ่งบอกว่า พวกบุชยาง ลูกหมากต่างๆ หลวม หรือ แตก เป็นต้น

 

เตรียมตัวก่อนไปดูช่วงล่างรถ

เมื่อได้เลือกรถยนต์มือสองที่ต้องการแล้ว และต้องการจะไปดูรถ โดยเฉพาะช่วงล่าง ให้ปฏิบัติดังนั้น
1. หาข้อมูล ช่วงล่างรถรุ่นนั้นๆ มีอะไรบ้าง แต่ละชิ้นส่วนมีชื่อเรียกอะไรบ้าง ราคา แล้วก็แคปหน้าจอเอาไว้เลย เวลาดูก็ไล่ดูไปทีละส่วน ทีละภาพ 
2. เตรียมไฟฉาย ไว้ส่งดูใต้ท้อง ใช้มือถือก็สะดวก แต่ไฟฉายดีกว่า

 

ชื้นส่วนต่างๆ ช่วงล่างรถยนต์มีอะไรบ้าง

รายการชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่าง ผู้เขียนจะเหมารวมถึงอะไรก็ตามที่อยู่ใต้ท้องรถทั้งหมดเลย เช่น

1. ล้อ ยาง แม็ค กระทะล้อ

ดูตัวเลขสัปดาห์และปีผลิตยาง จากตัวอย่าง 4811 จะเป็นสัปดาห์ที่ 48 เอา 48 คูณ 7 วัน = 336 ก็จะอยู่ประมาณเดือน ธันวาคม ปี 2011


ดอกยาง หน้ายาง ให้ดูว่าดอกยางเท่ากันหรือไม่ ยางคู่หน้า และยางคู่หลัง สึกมากน้อยแค่ไหน เพราะบางคันไม่มีการสลับยาง ทำให้ยางสึกไม่เท่ากัน หากสลับยางตามกำหนด ดอกยางก็จะสึกเท่ากัน หากหน้าของแต่ละล้อสึกไม่เท่ากัน แสดงว่าโช้คมีปัญหา ต้องเอามือลูบหน้ายาง เพื่อดูว่า ผิดปกติหรือไม่ ผิวยางสึกไม่เท่ากัน เวลาลูบผ่าน ก็จะสูงๆ ต่ำๆ

 


ลองเอาเล็บจิกดอกยางดูว่ายังนิ่มหรือไม่ เพราะแม้อายุยางไม่มากก็หมดสภาพได้เหมือนกัน หากแข็งมาก การยึดเกาะถนนก็จะไม่ดีเบรคไม่อยู่


ดูขนาดยาง และ ราคายาง เช่น ยางขนาด 205/75/R14 ก็ไปค้นหาข้อมูลยางในเน็ตว่าขายอยู่ที่เท่าไร หากมีรายจ่ายจะต้องเปลี่ยนยาง หรือ ต้องเปลี่ยนในอนาคต จะได้รู้ว่า มีค่าซ่อมรอยู่เท่าไร

 

2. กระทะล้อ ล้อแม็ก ลูกปืนล้อ

ดูขนาดกระทะล้อหรือแม็กมีขนาดกี่นิ้ว และดูราคายางด้วย ว่าเส้นละเท่าไร รถที่ใช้ล้อขนาดใหญ่ อย่างล้อขอบ 17 ถ้ายางยังไม่หมดอายุ ก็ไม่เครียด แต่หากยางหมดอายุได้เวลาต้องเปลี่ยน คราวนี้จะต้องกุมขมับแน่นอน อาจจะต้องจ่ายเกือบ 2 หมื่นบาท

ให้เลือกรุ่นที่ใช้ยางขนาดมาตรฐานติดรถจะดีที่สุด รุ่นนี้ใช้ยางขนาดขอบ 15 นิ้ว (R15) หน้ากว้างยาง 175 มม. และแก้มยางสูง 65 % ของหน้ากว้างยาง. รถแต่ง รถโหลดห้ามซื้อเพราะจะมีรายจ่ายค่าซ่อมสูงกว่า


ลูกปืนล้อก็เช่นกัน อย่างล้อหน้า ก็ดูด้วยว่ามีของเหลวรั่วซึมหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่าลูกปืนล้ออาจจะแตก มีรายจ่ายต้องทำ

 

3. ลูกหมาก บูชยางต่างๆ

บูช ลูกยาง ลูกหมาก ต่างๆ ให้ดูว่า แตกหรือมีคราบน้ำมันเยิ้มหรือไม่ ให้ดูใต้ท้องรถ แล้วนับตัวที่มีปัญหา หรือน่าจะต้องเปลี่ยน มีกี่ตัว นั่นก็คือจำนวนที่จะต้องเปลี่ยน แต่จะให้ดี ก็ควรจะเปลี่ยนทั้งชุด ในรถยนต์ใหญ่ ช่วงล่างดี จะมีลูกยางมากกว่ารถยนต์ขนาดเล็ก ซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย

 

 

4. ท่อไอเสีย

การดูท่อไอเดีย ให้ดูว่ามีรั่วหรือไม่ อาจจะขึ้นสนิม ในส่วนท่อพักก็เช่นกัน อาจจะผุข้างใน ขึ้นสนิม เวลาสตาร์ตเครื่องหากมีเสียงท่อแตก ก็จะมีค่าซ่อมตามมา

 

5 โช้ค

ทดสอบการทำงานของโช้ค ให้กดแต่ละมุมรถเหนือซุ้มล้อ แต่ก็อย่าลืมขออนุญาตเจ้าของก่อน เพราะบางคันบางมาก กดไม่เป็นยุบบุบแน่นอน หากโช้คยังทำงานปกติกดแล้วจะเด้งทีเดียวแล้วหยุดเลย หรือไม่ก็ต้องตรวจสอบขณะลองขับช้าๆ ผ่านถนนขรุขะ ฟังเสียงใต้ท้องรถและใช้การสัมผัสว่ามีเสียงกุกๆ กักๆ ที่ล้อใดบ้าง

 


ค้นหาข้อมูลโช้ค โดยพิมพ์ชื่อ เช่น honda city โช้ค เพื่อให้รู้ว่าหากจะต้องซ่อม หรือเปลี่ยนจะมีค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร ซึ่งนอกจากการเปลี่ยนใหม่แล้ว ก็ยังสามารถซ่อมได้ อัดโช้คใหม่ ค่าใช้จ่ายถูกกว่า แต่อายุการใช้งานก็อาจจะใช้งานได้ไม่นาน ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่ใช้รถคนเดียว ไม่บรรทุกข้าวของ ขับรถเปล่า

 

6. ยางหุ้มเพลาขับ ยางหุ้มแร็กพวงมาลัย หรือ ยางหุ้มกันฝุ่นแร็คพวงมาลัย

ยางหุ้มเพลาขับจะมี 4 ตัวด้วยกัน ปกติแล้วจะต้องแห้งสนิท หากมีคราบน้ำมัน คราบจาระบีเยิ้มออกมาก็แสดงว่า มีการรั่วซึม ต้องเปลี่ยน


ยางหุ้มกันฝุ่นแร็คพวงมาลัย ยางหุ้มแร็กพวงมาลัย เช่นเดียวกัน ให้ดูว่า มีคราบน้ำมันหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องเปลี่ยนเช่นกัน

 

7. เบรค ดรัมเบรค ดิสเบรค ผ้าเบรค

ดูผ้าเบรค ให้ดูผ้าเบรคล้อหน้าว่าเหลือมากน้อยเพียงใด และดูจานเบรคสึกแบบไหนเรียบหรือไม่ บางมากหรือไม่ ในรถที่มีอายุมากๆจานเบรคอาจจะบางมากแล้ว ต้องเปลี่ยนทั้งผ้าเบรคและจานเบรค

 


สำหรับรถยนต์มือสองรุ่นเก่าที่ใช้ล้อหลังแบบดรัมเบรค อาจจะต้องลองเบรค ให้ล้อล็อก แล้วดูว่าล้อหลังทำงานปกติหรือไม่ อย่างคันนี้ ล้อหลัง ดรัมเบรคทำงานข้างเดียว อีกข้างล็อกตาย ก็มีรายจ่ายค่าซ่อมตามมา เพราะจอดไว้นาน เจ้าของก็ขับอย่างเดียว

 

8. แชสซี ตัวถังรถยนต์

การดูแชสซี หรือ ตัวถังใต้ท้องรถ ให้ดูว่า มีผุ ขึ้นสนิม หรือ บุบ บิดเบี้ยวหรือไม่ ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า เคยเกิดอุบัติเหตุแบบใดมาบ้าง ถ้ามีบุบ ก็แสดงว่าน่าจะลงข้างทาง ครูดพื้น หิน ฯลฯ

 

เครื่องมือจัดการกับช่วงล่างที่ต้องมี

นอกจากการดูชิ้นส่วนต่างๆ ของช่วงล่างรถแล้ว ก็ต้องดูด้วยว่า มีเครื่องมือมาให้ครบหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็ต้องซื้อเพิ่ม เช่น
1. แม่แรงยกรถ เอาไว้ถอดล้อ หากยางแบน ต้องเปลี่ยนไปใช้ล้อสำรอง จำเป็นต้องมีติดรถ เพราะไม่รู้ว่า จะเกิดปัญหากับล้อ ยางแบนเมื่อไรบ้าง


2. ประแจถอดน็อตล้อ มีทั้งแบบกากบาท มีหลายเบอร์ และแบบเบอร์เดียว ขนาดเล็กกว่า


3. ที่เติมลมยาง ที่วัดลมยาง ที่สูบลมยางใช้ของจักรยานก็ได้ เน้นคุณภาพดีหน่อย ให้ลมแรง ราคาก็แพงหน่อย เกิน 500 บาท ขึ้นไป

 

สรุป

การดูช่วงล่าง ให้พิจารณาจากรถเดิมๆ มาตรฐาน หลีกเลี่ยงรถแต่ง รถโหลดเตี้ย ดูเบาะ ดูเลขไมล์รถ เบาะที่ยังคงสภาพใหม่ และเลขไมล์ไม่มากนัก จะบอกให้รู้ว่า รถคันนั้น ช่วงล่างไม่สึกหรอมาก เพราะบรรทุกผู้โดยสารเฉพาะเบาะคู่หน้า เลขไมล์น้อย ก็ใช้งานน้อยเช่นกัน จำนวนสมาชิกในบ้านก็เช่นกัน มากน้อย อีกตัวแปรหนึ่งก็คือพฤติกรรมการขับ ก็ดูได้จากสภาพรถ วัยของเจ้า ของรถ ขนาดของยางไม่ต้องใหญ่มาก จะมีรายจ่ายก้อนโตตามมา