หากผู้อ่านกำลังมีปัญหาการเงิน ไม่มีรายได้ ตกงาน ไม่มีงาน ซึ่งอาจจะเกิดจากปัญหาส่วนตัว ภัยธรรมชาติ หรือ โรคระบาด บทความนี้อาจ จะช่วยท่านได้ แนวทางบริการเงินจะเน้น 3 แนวทาง การใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น จัดการหนี้สินให้หมด และเรียนรู้อาชีพใหม่ด้วยการลงมือทำทันที ให้มีรายได้เข้ามาโดยเร็วที่สุด หากสามารถทำได้ตามนี้ ก็จะมีโอกาสรอดและสามารถตั้งตัวได้อย่างแน่นอน

 

ที่ผ่านๆ มา อาจจะเกิดภัยธรรมชาติแบบต่างๆ แต่แม้จะมีความร้ายแรงเพียงใด ก็ไม่หนักหนาสาหัสเหมือนกับการเกิดโรคระบาด เพราะทำ ให้ทุกประเทศทั่วโลกประสบปัญหาเหมือนกัน ได้รับความเดือดร้อนไปทั่วทุกแห่งที่มีผู้คนอาศัยอยู่ ทำให้รูปแบบการใช้ชีวิต การทำงาน การ ประกอบอาชีพ ต้องเปลี่ยนไป อาชีพส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ ผู้คนไม่สามารถทำงานได้ ตกงาน ไม่มีรายได้ มีปัญหาเรื่องอาหาร

 

แนวทางบริหารเงินเพื่อเอาตัวรอดแบบต่างๆ

วิเคราะห์ เจาะลึกสถานการณ์เลวร้ายให้รอบด้าน

การวิเคราะห์สถานการณ์นั้น ให้ดูว่า สถานการณ์จะมีโอกาสยืดเยื้อไปอีกนานแค่ไหน อย่างการเกิดน้ำท่วม อาจจะกินเวลาไม่นาน และไม่มี ปัญหากับการเดินทางไปหางานทำที่อื่น แต่การเกิดโรคระบาด จะเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่ามาก เพราะงานส่วนใหญ่จะต้องติดต่อผู้คน เมื่อ เกิดโรคระบาดจึงไม่สามารถทำงานได้ การติดต่อกัน อาจจะเกิดการแพร่เชื้อโรค จึงต้องดูว่าสถานการณ์จะยังคงอยู่อีกนานเพียงใด และหลังจาก นั้นจะเป็นอย่างไร เพื่อจะได้รีบตัดสินใจในบางเรื่องที่สำคัญ เช่น เรื่องงาน หนี้สิน ที่อยู่อาศัย

 

วิเคราะห์การเงินตัวเอง ให้รอบคอบ

สำหรับคนที่ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ ในช่วงเกิดสถานการณ์เลวร้าย อย่างโรคระบาด จำเป็นจะต้องรีบวิเคราะห์การเงินของตนเองอย่าง ละเอียดรอบคอบ มีเงินเก็บมากน้อยเพียงใด เพียงพอต่อการเอาตัวรอดได้กี่วัน กี่เดือน การวิเคราะห์การเงินนั้นให้ตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก่อน คงเหลือแต่รายจ่ายหลักๆ เท่านั้น เน้นเอาตัวรอดไปก่อน

 

สำรวจทรัพย์สิน และประเมินมูลค่า

สำหรับคนที่มีข้าวของมีค่า มีทรัพย์ สมบัติ ก็ควรประเมินมูลค่าของทรัพย์สินเหล่านั้น เพื่อให้รู้ว่า หากเปลี่ยนเป็นเงินสดแล้วจะได้เงินเท่าไร และอาจจะต้องรีบตัดสินใจขายทันที หากมีแนวโน้มว่า น่าจะไม่มีงานเข้ามาในระยะยาว เพราะเป็นอาชีพที่มีความเสี่่ยงกับการติดโรคระบาด และ เป็นอาชีพที่ทางรัฐบาลสั่งให้ปิดบริการ อย่างเช่น ช่างเสริมสวย ผับ ร้านอาหาร นวดแผนโบราณ หรืออาชีพที่ต้องใกล้ชิดกับบุคคลอื่น กรณีนี้ แนะนำให้รีบหางานใหม่ หากไม่มีงาน หรือมีรายได้ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ก็ควรรีบตัดสินใจจัดการกับทรัพย์สินที่มีอยู่ ขาย จำนำ หรือปล่อย ให้เช่า เพื่อให้มีเงินสดสำรองไว้ยามฉุกเฉิน

 

ย้ายที่อยู่ เพื่อประหยัดค่าใช้จาย

สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง และต้องเช่าบ้าน หรือหอพัก ควรย้ายที่อยู่เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย อย่างหอพักในต่างจัดหวัด บางแห่งเช่า เพียงเดือนละ 1,000 บาทเท่านั้นเอง ค่าครองชีพถูกมาก มีรายได้เดือนละ 3,000 บาทขึ้นไป ก็ยังชีพอยู่ได้สบาย ในสถานการณ์การเกิดโรค ระบาดนั้น งานที่จะสามารถทำได้ ก็จะเป็นงานออนไลน์ ขายของออนไลน์ รับจ้างทำงานออนไลน์ งานเหล่านี้อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ ขอเพียงให้มี สัญญาณมือถือและอยู่ไม่ไกลจากไปรษณีย์ หรือ Kerry มากนัก เพื่อความสะดวกในการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า การเลือกเช่าบ้าน หรือ ที่ดินจะช่วย ลดรายจ่าย เพราะสามารถปลูกพืชผักไว้กินเองได้

 

ใช้เงินเพื่อซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็น

เมื่อรู้ว่ามีเงินเหลือเท่าไร คราวนี้ก็คำนวณรายจ่ายเรื่องอาหาร และของใช้ที่จำเป็น ตัดเรื่องความสะดวกสบายออกไปก่อน เช่น จากเคยกิน กาแฟสดแก้วละ 40-50 บาท ทุกวัน ก็ตัดไปก่อน หรือกินกาแฟซอง ชงกาแฟกินเอง เน้นใช้จ่ายเงินไปกับอาหารที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น เช่น
1. เน้นข้าวเป็นเมนูหลัก ทั้ง 3 มื้อ และไม่กินพร่ำเพรื่อ กินทั้งวัน การกินขนมปังบ้าง ขนมบ้าง ของหวานบ้าง จะทำให้เสียเงินมาก
2. ในเรื่องกับข้าวให้เน้นการทำอาหารกินเอง จะช่วยประหยัดเกินเท่าตัว หากมีเงินเหลือไม่มากนัก ก็เน้นเมนูไข่และผักเป็นหลัก เอาชีวิตรอดไป ก่อน
3. เมื่อพอจะมีเงินเหลือบ้าง ก็เน้นอาหารเสริมอย่างอื่น เช่น ผลไม้ นม หรืออาหารชนิดอื่นที่ทดแทนกันได้ มีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนกัน แต่ประหยัดเงินมากกว่า
4. ข้าวของเครื่องใช้ ให้ซื้อเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น อะไรที่ยังใช้ได้ ก็ใช้ต่อไป อะไรไม่ใช้ ก็เอาไปลงประกาศขาย เก็บเงินสดไว้ก่อน

 

ข้าวสาร 5 กิโลกรัมหุงข้าวได้ประมาณ 32-33 จาน แต่ละคนจะกินข้าวประมาณ 10-15 กิโลกรัม คิดเป็นเงินประมาณ 300-500 บาท ต่อคน ต่อเดือน หากเน้นทำอาหารกินเอง ปลูกพืชผักกินเอง การมีเงินให้ใช้จ่ายเพียงเดือนละ 1,000-1,500 บาท ก็เอาตัวรอดได้สบายๆ

 

การบริหารเงินสำหรับคนมีครอบครัว

การอยู่กันเป็นครอบครัว ต้องคุยกันถึงสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ให้สมาชิกทุกคนรู้ว่า การเงินของครอบครัว เรื่องรายได้เป็นอย่างไร มีปัญหาอะไร เกิดขึ้นบ้าง เพื่อจะได้ช่วยกันประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะหากต่างคนต่างใช้ รายจ่ายจะค่อนข้างเยอะ เช่น เรื่องอาหาร ต่างคนต่างซื้ออาหารกินเอง แม้จะเป็นอาหารตามสั่ง อาหารจานเดียว แต่รายจ่ายจะค่อนข้างเยอะ สมมุติว่ามีสมาชิก 5 คน สั่งข้าวคนละกล่องๆ ละ 40 บาท รวม 200 บาท ถ้าซื้อข้าวกล่องทั้ง 3 มื้อ เข้า กลางวัน เย็น จะเป็นเงิน 600 บาทต่อวัน หรือเดือนละ 18,000 บาท ในขณะที่การทำอาหารกินเอง จะใช้เงิน น้อยกว่านั้น รวมทั้ง 3 มื้อใช้เงินไม่เกิน 300 บาท

 

ในกรณีที่สมาชิกในบ้านขาดวินัยการใช้เงิน แต่ละคนต่างใช้จ่ายตามใจตัวเอง ทำให้เกิดรายจ่ายค่อนข้างมาก ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือผู้ที่ ดูแลการเงินในบ้าน ก็จำเป็นต้องควบคุมดูแล เรื่องอาหารการกิน เพื่อลดรายจ่าย เพราะในเรื่องอาหาร หากกินตามใจปาก รายจ่ายในส่วนนี้จะ ค่อนข้างมาก

 

สร้างแหล่งอาหารเอง เพื่อช่วยประหยัดรายจ่าย

การกินข้าว การทำอาหารกินเอง เป็นอาหารหลักทั้ง 3 มื้อ จะช่วยประหยัดเงินอย่างมาก และหากปลูกพืชผักเป็นแหล่งอาหารด้วยแล้ว ก็จะ ช่วยประหยัดเงินมากยิ่งขึ้น การซื้ออาหารปรุงสำเร็จ อาหารตามสั่ง แม้จะใช้เงินมากกว่าการทำอาหารกินเอง แต่ปริมาณอาหารที่ได้รับไม่คุ้มกับ เงินที่จ่ายไป ต้นทุนอาหารจริงๆ ไม่ถึงครึ่งของราคาอาหาร เงินที่เหลือเป็นกำไรของทางร้าน

อย่างข้าวไข่เจียว จานละ 30 บาท ต้นทุนจริงๆ ไม่เกิน 15 บาท ที่เหลือ เป็นกำไรของร้านอาหาร ไม่ใช่ว่าจ่ายไป 30 บาท แล้วจะได้ปริมาณ อาหารคุ้มกับเงินที่จ่ายไป ข้าวมีต้นทุนไม่เกินจานละ 2 บาท ไข่ 2 ฟอง ไม่เกิน 8 บาท รวมรายจ่ายอื่นๆ ก็ไม่เกิน 15 บาท ในช่วงที่มีปัญหา เรื่องงาน ไม่มีรายได้ จึงต้องทำอาหารกินเอง และหากประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก เรื่องอาหารการกิน ยิ่งต้องประหยัดให้มากที่สุดเท่าที่ จะสามารถทำได้

 

จัดการหนี้สิน ปิดบัญชีให้หมด

ถ้าหากสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น มีแนวโน้มว่าจะต้องตกงาน ว่างงาน ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ต่อไปอีกนาน อย่างการเกิดโรคระบาด ซึ่งไม่รู้ว่า อีกกี่วัน กี่เดือน จึงจะสามารถจัดการกับการแพร่ระบาดได้อยู่หมัด ก็ควรตัดสินใจให้เด็ดขาดกับหนี้สินที่มี เช่น การผ่อนข้าวของเครื่องใช้ การ ผ่อนรถ อาจจะตัดสินใจขายเพื่อปิดบัญชี โดยเฉพาะรถใหญ่ เครื่องยนต์ใหญ่ รถตลาดไม่นิยม รถเหล่านี้ ราคาตกมาก ขายต่อยากและราคาถูก มาก ก็ต้องรีบตัดใจและตัดสินใจขายให้เร็ว เพื่อตัดหนี้สินออกไปให้หมด นำเงินสดมาเก็บสำรองไว้ก่อน

 

เปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิต

สไตล์การใช้ชีวิตของคนเรามีผลโดยตรงกับรายจ่าย ในช่วงตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน ก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนสไตล์ใช้ชีวิตให้เรียบง่าย อยู่ แบบพอเพียง รายจ่ายจะน้อยกว่า สไตล์การใช้ชีวิตแบบหรูหรา

 

ศึกษาอาชีพที่หาเงินได้จากที่บ้าน

ในช่วงเกิดภัยธรรมชาติ หรือ แม้แต่โรคระบาดที่สร้างปัญหาในการทำงานอย่างมาก แต่ก็ยังมีอาชีพ หรือ รูปแบบการสร้างรายได้ อีกมาก มายที่สามารถทำได้ที่บ้าน โดยไม่ต้องออกไปไหน หรือ อาจจะออกไปส่งของให้ลูกค้าที่ไปรษณีย์เท่านั้น บางคนทำหมูแดดเดียวขายไปทั่วประเทศ จากที่เคยขายหน้าบ้าน แต่การเกิดโรคระบาด ไม่มีคนมาซื้อ ก็เน้นขายออนไลน์ ขายผ่านเฟสบุ๊ค ส่งทางไปรษณีย์ บางคนมีแตงโม 100 ตัน ก็ยัง สามารถขายได้หมดในวันเดียว

 

การเกิดโรคระบาดซึ่งไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไร ไม่มีใครตอบได้ว่าอีกนานกี่วัน กี่เดือน หรืออาจจะเป็นปี ดังนั้น จึงไม่ต้องรอให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่จงลงมือพัฒนาตัวเองทันที เรียนรู้อาชีพใหม่ หากอาชีพที่ทำอยู่ไม่สามารถทำได้ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะแต่ละวันจะมีรายจ่าย ต้องกิน ต้องใช้ บางคนเปิดร้านเสริมสวย จำเป็นต้องปิดร้าน เพื่อป้องกันโรคระบาด เพราะอาจจะได้รับเชื้อโรคจากลูกค้า หรือ ตัวเองอาจจะแพร่เชื้อโรค ให้ลูกค้า จึงไม่รีรอ รีบศึกษางานใหม่ อย่างการเย็บหน้ากากผ้า ขายออนไลน์ กลายเป็นอาชีพใหม่ สร้างรายได้ มีเงินใช้ ไม่เดือดร้อน

 

อาชีพที่หาเงินได้จากที่บ้าน ยังมีอีกหลายแบบ บางคนก็รับจ้างอัดเสียง ถอดเสียง รับจ้างตัดต่อวิดีโอ ยูทูปเบอร์ บล็อกเกอร์ รับหน้าที่ดูแล ร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น งานเหล่านี้ สามารถทำที่ได้บ้าน โดยไม่ต้องออกไปไหน มีมือถือที่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ ก็สามารถทำงานได้ ทันที แต่งานในลักษณะนี้จะต้องใช้เวลาอย่างมากในการศึกษาวิธีการทำงาน หรือพัฒนาตัวเองให้มีความรู้ งานบางอย่างลงทุนเป็นตัวเงินน้อยมาก แต่ลงทุนกับเวลาค่อนข้างมาก กว่าจะสามารถศึกษาจนมีความรู้ และสามารถนำความรู้ไปช่วยหาเงินได้ ก็อาจจะใช้เวลาหลายเดือน แต่การทำ งานหาเงินแบบนี้ มีข้อดีในเรื่องความยืดหยุ่นในการทำงาน และ รายได้ บางคนอยู่เมืองไทย แต่มีรายได้จากการให้บริการคนต่างชาติ

 

ศึกษาอาชีพที่ไม่ต้องติดต่อผู้คนมากนัก

การทำงานจากที่บ้าน จะต้องมีความรู้ในการใช้มือถือ การใช้อินเตอร์เน็ต เฟสบุ๊ค ยูทูป แต่หากเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ไม่มีความรู้ด้าน ไอที ก็ยังมีงานอีกหลายอาชีพที่สามารถทำได้ในช่วงที่เกิดโรคระบาด เช่น บริการรับส่งอาหาร บริการรับส่งสินค้า เป็นต้น

 

สรุป

สรุปวิธีเอาตัวรอดกับการบริหารเงินเมื่อไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ในช่วงเกิดโรคระบาด หรือ ภัยธรรมชาติต่างๆ ผู้เขียนแนะนำให้ใช้ 3 วิธีดังนี้
1. การใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร หรือ ของใช้ส่วนตัว เน้นกินข้าวเป็นอาหารหลัก ทำอาหารกินเอง และอาจ ปลูกพืชผักไว้กินเองด้วยเช่นกัน วิธีนี้จะช่วยประหยัดเงินได้เกินหนึ่งเท่าตัว
2. จัดการหนี้สินให้เรียบร้อย ถ้าในระยะยาว ไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ก็จงรีบจัดการหนี้สินให้หมดโดยเร็ว รถที่ยังต้องผ่อน ก็จงตัดใจขายทิ้งไปเลย เก็บเป็นเงินสดไว้ก่อน
3. ศึกษาอาชีพใหม่ โดยลงมือทำทันที ไม่ต้องรอ อย่างการเกิดโรคระบาดนั้น เชื้อโรคมักจะคงอยู่ต่อไปอีกนาน บางอาชีพจึงไม่สามารถทำได้อีก ต่อไปแล้ว โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องมีการติดต่อกัน ใกล้ชิดกัน อย่างร้านอาหาร ผับ เธค ร้านนวดแผนโบราณ ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม ต้องเปลี่ยน ไปทำอาชีพใหม่ ที่สามารถทำได้ โดยไม่มีโรคระบาดเป็นอุปสรรค

 

อย่างอาชีพช่างเสริมสวย ช่างตัดผม ก็ต้องเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นทันที ไม่ต้องรอให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะถึงแม้ว่าทุกอย่างจะเริ่มดีขึ้น แต่ อาจไม่มีคนกล้ามาใช้บริการ ลูกค้าอาจกลัวว่า จะติดเชื้อโรคจากช่างตัดผม ส่วนช่างตัดผมเอง ก็กลัวจะติดเชื้อโรคจากลูกค้า ดังนั้น อาชีพแบบใด ที่ไม่ปลอดภัย ก็จงเปลี่ยนอาชีพไปเลย เปลี่ยนเร็ว รายได้ ก็เข้ามาเร็ว ชีวิตก็จะไม่ลำบาก