การใช้รถเก่ารถหรือมือสองโดยเฉพาะรถที่มีอายุการใช้งานหลายปีแล้ว บางคันอาจจะเกิน 20 ปี การใช้งานจะต้องหมั่นสัง เกตุอาการผิดปกติต่างๆ ซึ่งจะบอกให้รู้ว่า รถกำลังมีปัญหา หรือน่าจะมีปัญหา จะได้รีบหาทางซ่อมบำรุงให้ทันท่วงที ป้องกันรถ เสียกลางทาง

การใช้รถมือสอง หากไม่ซ่อมบำรุงชุดใหญ่ในคราวเดียว ก็ย่อมจะมีปัญหาจุกจิก เกิดขึ้ตตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่ สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะเงินไม่พอ หรือเป็นคนประเภทต้องรอให้เกิดปัญหาก่อนแล้วจึงจะซ่อม กรณีอย่างนี้ก็ต้องหมั่นสังเกตุ ใช้รถไป ก็ต้องสังเกตุไปด้วย ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่ จะได้รีบหาทางป้องกันได้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้รถเสียกลางทางหรือเกิด อุบัติเหตุ

 

ตัวอย่างการสังเกตุความผิดปกติของรถเก่า หรือรถมือสอง

ข้อควรสังเกตุก็มีหลายอย่าง ที่รถเก่า หรือรถมือสองที่ใช้งานอยู่นั้นจะมีอาการผิดปกติให้สังเกตุได้ ตัวอย่างเช่น

 

สารพัดกลิ่นต่างๆ

กลิ่นที่เกิดขึ้นจะบอกให้รู้ว่า รถกำลังมีปัญหาเรื่องอะไรบ้าง โดยต้องสังเกตุทั้งในขณะอยู่ในรถและอยู่นอกรถ ขณะติดเครื่อง เช่น
- กลิ่นน้ำมันเครื่อง โดยเฉพาะขณะขับรถ หากมีกลิ่นแสดงว่า น้ำมันเครื่องน่าจะรั่วซึม
- กลิ่นน้ำมัน ท่อน้ำมัน อาจแตก น้ำมันรั่วออกมา
- กลิ่นหนูในรถ แสดงว่าหนูเข้ารถ เข้าช่องแอร์ กรณีนี้เรื่องใหญ่เลยทีเดียว
- กลิ่นสาปหนุ่ม กลิ่นสาปสาว เส้นผมที่หลุดร่วงในรถ อันนี้ตายอนาถได้เลยนะ

 

เข็มน้ำมัน การเติมน้ำมัน

ในการนำรถไปเติมน้ำมัน จริงๆ แล้วไม่ควรดับเครื่อง เพื่อจะได้ดูว่า เข็มน้ำมันได้มีการขยับขึ้นเมื่อเติมน้ำมันหรือไม่ เรื่อง แย่ๆ แบบนี้ อาจจะไม่เกิดกับเราบ่อยนัก แต่ผู้เขียนเจอมากับตัวเอง 2 ครั้ง เติมน้ำมันแล้วออกแต่ลม แต่ตัวเลขวิ่ง เสียเงินเปล่า แต่ไม่ได้น้ำมัน ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก หากจะต้องเดินทางไปไหล อย่างผู้เขียนจะเดินทางไปกางเต็นท์บนเขาใหญ่ ปรากฏว่า รถไปดับอยู่บนยอดเขา น้ำมันหมด เพราะตอนเติมน้ำมันนั้น ไม่มีน้ำมันเข้าไปเลย แถมทางปั๊มก็ไม่รับผิดชอบ ดังนั้น หากเข็ม น้ำมันไม่ขยับ และกำลังเดินทางไกล ต้องรียบตรวจสอบด่วน

 

แอร์ไม่เย็น

ควรสังเกตุระดับความเย็นของแอร์และจำให้ได้ หากรถมีปัญหา ก็จะได้รีบหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที เพราะหากน้ำยาแอร์หมด อาจจะทำให้มีค่าซ่อมตามมาหลักพัน อย่างการเปลี่ยนคอมเพรสเซอร์แอร์ใหม่ ซึ่งในรถบางรุ่นอาจจะมีค่าใช้จ่ายสูงหลักหมื่น บาท

 

อาการของรถขณะขับขี่ โครงเคลงเหมือนเรือ

หากรถมีอาการโคลงเคลงหมือนนั่งเรือ หรือมีอาการโยกเยก ขณะขับขี่ ก็จะมีสาเหตุจากหลายจุด เช่น
- ลมยางอ่อน ลมยางของแต่ละล้อไม่เท่ากัน ก็ต้องตรวจสอบว่า มีอะไรผิดปกติบ้าง บางล้ออาจจะมีซี่ลวด ตะปูติดต่าอยู่หรือไม่ ทำให้ลมยางอ่อน
- โช้คอาจจะมีปัญหา หากลมยางล้อทั้ง 4 ปกติ ไม่มีปัญหาใดๆ ก็เป็นไปได้ว่า โช้คน่าจะมีปัญหาแน่นนอน
- ลูกหมากต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับช่วงล่าง
- รถเคยเกิดอุบัติเหตุ ลงข้างทางมาก่อน ข่วงล่างมีปัญหา ก็ต้องระวังจะได้หาทางรับมือ เช่น ไม่ขับรถเร็วเกินไป หรือหาทางแก้ไข หรือหากมีอาการหนักก็ขายทิ้งไปเลยจะดีกว่า

 

หมั่นสังเกตุของเหลวต่างๆ

ของเหลวต่างๆ จะมีส่วนสำคัญที่ช่วยในการหล่อลื่นและระบายความร้อน ซึ่งหากของเหลวเหล่านี้พร่องหรือแห้ง ก็ย่อมจะ สร้างปัญหากับระบบเครื่องยนต์หรือส่วนต่างๆ อย่างแน่นอน ตัวอย่างของเหลวแบบต่างๆ
- น้ำฉีดล้างกระจก ควรตรวจสอบให้ดี โดยเฉพาะก่อนการเดินทางไกล
- น้ำในหม้อน้ำ ควรตรวจสอบระดับการระเหย มากน้อยเพียงใด ในแต่ละวัน หรือแต่ละทิตย์ เพราะหากน้ำแห้งเครื่องยนต์มี โอกาสพังได้ 100%
- น้ำมันเบรค น้ำมันครัช ที่เป็นกระปุกต่างๆ ในห้องเครื่อง ต้องอยู่ในระดับ Min และ Max ห้ามเกินระดับ Max และห้ามน้อย กว่าระดับ Min
- ระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่
- น้ำมันเครื่อง ชักก้านวัด เพื่อตรวจสอบ โดยจะต้องอยู่ในระดับ Min และ Max เช่นกัน แต่หากระดับค่อนไปทาง Min หรือน้อย ก็ควรเติม แต่อย่าให้เกิน Max ทั้งนี้ก่อนตรวจวัดต้องจดรถในแนวระนาบ ห้ามเอียง เพราะการวัดระดับน้ำมันเครื่องจะผิดพลาด

 

ระบบไฟ

ระบบไฟมีหลายอย่าง ทั้งไฟเลี้ยว ไฟเบรค ไฟส่องหน้ารถ ซึ่งมีความสำคัญมาก บางคัน ไฟเลี้ยว ไฟเบรคมีปัญหาบ่อย เพราะ รถเก่า หนูชอบเข้าไปอยู่และกัดสายไฟ บางคัน จอดไว้คืนเดียว ก็โดนหนูเล่นงานแล้ว
- ไฟเลี้ยวมีความสำคัญมาก หากมีปัญหา เวลาจะเลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงมาก เพราะรถที่ตามมาจะไม่รู้ ว่ารถกำลังชะลอจะเลี้ยว บางคันก็ยังขับจี้มาติดๆ ถ้าเบรคเมื่อไรก็มีโอกาสถูกชนท้าย
- ไฟเบรคก็เช่นกัน หากหลอดดับ หลอดไม่ดิดก็จะสร้างปัญหา เพราะเวลาเบรค รถที่ขับตามมาจะไม่รู้ว่าเบรค หรือชะลอความ เร็ว จึงมีโอกาสถูกชนท้าย
- ส่วนไฟหน้า หากหลอดขาด ก็จะสร้างปัญหาใหญ่เช่นกัน
- ไฟส่องป้ายทะเบียน ห้ามขาด เพราะมีโอกาสถูกเจ้าหน้าที่เรียกปรับ

 

การสังเกตุใต้ท้องรถ

การสังเกตุใต้ท้องรถ ควรก้มดูบ้าง อย่างเวลาที่จะต้องเดินทางไกล หรือไปทำธุระสำคัญ ไกลบ้าน เพื่อดูความผิดปกติต่างๆ เช่น
- มีน้ำมันเครื่องรั่วซิมหรือไม่
- น้ำมันเบรค น้ำมันครัชรั่วซ้มหรือไม่
- น้ำมัน อย่างในรถดีเซล น้ำมันรั่ว ก็จะไม่ระเหยง่ายๆ
- ใต้ท้องรถจะต้องแห้ง ไม่มีคราบน้ำมันแต่อย่างใด แต่หากมีคราบน้ำมัน ก็แสดงว่า มีความผิดปกติ ซึ่งจะตามมาด้วยกลิ่นที่ทำ ให้สังเกตุได้ไม่ยาก

 

หน้าปัทม์ ไฟสัญญาณเตือนต่าง

ขณะขับรถให้หมั่นสังเกตุ หน้าปัทม์ เพื่อดูไฟเตือนต่างๆ หมั่นดูเป็นระยะเช่น
- เตือนความร้อน ของเครื่องยนต์
- เตือนแบตเตอรี่
- เตือนน้ำมัน บางคันอยู่ดีๆ ท่อน้ำมันแตก น้ำมันรั่ว ก็ทำให้น้ำมันหมดเร็วมาก

 

เสียงผิดปกติขณะขับขี่รถยนต์

หากมีเสียงผิดปกติขณะขับขี่รถยนต์ ก็ต้องหมั่นสังเกตุเช่นกัน ว่าเสียงดังมาจากทางไหน เป็นเสียงแบบไหน เช่น เสียงเหล็ก เสียดสีกัน เสียงช่วงล่าง

 

ความสั่นสะเทือนของรถ

หากมีปัญหาในลักษณะนี้ มักจะเกิดจากยางแท่นเครื่อง เช่น รอบเดินเบา ขณะจอดรถติดไฟแดง หรือกำลังจะออกตัว หากมี อาการสั่นสะเมือน ก็แสดงว่า ยางแท่นเครื่องมีปัญหาอย่างแน่นอน หรือกรณีสั่นสะเทือนขณะขับขี่ ก็เป็นไปได้ว่า อาจจะเกิดจาก ลูกหมาก หรือยางต่างๆ ใต้ท้องรถ

 

ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการมีรถยนต์

สำหรับผู้ที่อยากมีรถยนต์ไว้ใช้งาน แต่การเงินยังไม่มากพอ ก็ต้องหมั่นสังเกตุเงินในกระเป๋าของตัวเองที่ต้องจ่ายไปกับรถ ค่าน้ำมัน รายจ่ายแฝงอย่างการขับรถออกนอกเส้นทาง ขับรถเที่ยว รายจ่ายอื่นๆ หากพบว่าเริ่มจะมากเกินไป เอาไม่อยู่ ก็จงรีบ ตัดสินใจขายรถยนต์ เพราะรถยนต์นั้น แม้จะเป็นรถมือสองหรือมือหนึ่ง รายจ่่ายที่เกิดขึ้นตามมาก็ไม่ต่างกัน รถเล็ก ก็จะ ประหยัดกว่ารถใหญ่

 

การใช้งานรถยนต์มือสอง จำเป็นต้องหมั่นสังเกตุอาการผิดปกติต่างๆ โดยเฉพาะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ข้อสุดท้าย นั่นเอง ค่าใช้ จ่ายที่เกิดจากการมีรถยนต์นั้น เอาอยู่หรือไม่ การเงินพร้อมหรือไม่ มีความจำเป็นต้องใช้รถหรือไม่ หากไม่พร้อมก็อย่าไปยุ่งกับ รถยนต์ จะดีที่สุด ก็จะไม่ต้องปวดหัว กับสารพัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา